อยากให้ Server และข้อมูลของคุณปลอดภัย ใช้ THAI DATA CLOUD

ความปลอดภัยของข้อมูลเป็นอะไรที่สำคัญเป็นอันดับต้น ๆ เลยก็ว่าได้ ผู้ใช้งานทุกคนล้วนมีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยข้อมูลของตน

DDoS ย่อมาจาก Distributed Denial of Service (การบุกรุกด้วยการปฏิเสธบริการแบบกระจาย) เป็นวิธีการโจมตีทางเครือข่ายที่ผู้โจมตีใช้เครื่องมือหรือโค้ดเพื่อส่ง Request เข้าสู่เซิร์ฟเวอร์หรือระบบเครือข่ายจำนวนมาก ซึ่งทำให้เซิร์ฟเวอร์หรือระบบเครือข่ายไม่สามารถให้บริการแก่ผู้ใช้งานได้ เป็นผลให้บริการดังกล่าวไม่สามารถให้บริการได้อย่างปกติ และบางครั้งอาจทำให้ระบบล่มลงไปตลอดช่วงเวลาที่โจมตี

DDoS ทำงานโดยการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์จำนวนมากจากหลายแหล่งต่างกัน ซึ่งทำให้การตรวจจับและป้องกันการโจมตีเป็นสิ่งที่ยากมาก และมักเป็นเหตุผลที่ทำให้ระบบเครือข่ายล่มหรือไม่สามารถให้บริการได้อย่างปกติ

นอกจากนี้ การโจมตี DDoS ยังสามารถทำให้เป็นเครื่องมือในการเปิดช่องโหว่ที่ทำให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงระบบหรือข้อมูลที่ต้องการโจมตีได้ โดยการใช้ DDoS เป็นวิธีการหนึ่งในการเข้าถึงการโจมตีที่มีการจำกัดทรัพยากรหรือความสามารถของผู้โจมตีในการทำลายระบบโดยตรง

เพื่อป้องกันการโจมตี DDoS องค์กรต่างๆ จะใช้มาตรการความปลอดภัยที่เหมาะสม เช่นการใช้บริการ DDoS mitigation (การลดความเสี่ยงจากการโจมตี DDoS) การกำหนดเขตจำกัดในการรับการร้องขอ (Request Rate Limiting) การใช้การกรองแพ็กเก็ต (Packet Filtering) และการใช้บริการคลาวด์ที่มีการควบคุมความปลอดภัยอย่างเข้มงวด เพื่อลดความเสี่ยงจากการโจมตี DDoS และรักษาความสามารถในการให้บริการของระบบไว้ในสถานะปกติ

ดังนั้นเราจึงมีบริการที่ช่วยในการป้องกันการโจมตีเพื่อให้ข้อมูลของคุณมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะมีบริการ AntiDDoS สำหรับ Server ทุกเครื่องมากถึง 5Gbps ฟรี! และมี Cloud Firewall ให้ใช้งานผ่าน Dashboard ของทาง THAI DATA CLOUD ซึ่งจะช่วยป้องกันการเข้าถึงในส่วนที่เราจำกัดได้ ตัวอย่างเช่น การ SSH สามารถกำหนดได้ว่าจะอนุญาตให้ เฉพาะ IP ใดสามารถ SSH ได้ หรือปิด Port ที่ไม่จำเป็นและเปิดเฉพาะ Port ที่ใช้งาน เป็นต้น

การใช้งานพอร์ต (Port) มีความสำคัญสำหรับการเชื่อมต่อและการสื่อสารในเครือข่าย มีหลายพอร์ตที่มีหน้าที่และการใช้งานต่างกันไป เช่น :

  1. พอร์ต 80 (Port 80): ใช้สำหรับการสื่อสารผ่านโปรโตคอล HTTP ซึ่งใช้สำหรับการเรียกดูเว็บไซต์
  2. พอร์ต 443 (Port 443): ใช้สำหรับการสื่อสารผ่านโปรโตคอล HTTPS ซึ่งเป็นการเข้ารหัสการสื่อสารข้อมูลที่จะถูกส่งผ่านเว็บไซต์
  3. พอร์ต 22 (Port 22) : ใช้สำหรับการสื่อสารผ่านโปรโตคอล SSH ซึ่งใช้สำหรับการเข้าถึงและควบคุมระยะไกลเครื่องคอมพิวเตอร์
  4. พอร์ต 25 (Port 25) : ใช้สำหรับการสื่อสารผ่านโปรโตคอล SMTP ซึ่งใช้สำหรับการส่งอีเมล
  5. พอร์ต 3306 (Port 3306) : ใช้สำหรับการสื่อสารผ่านโปรโตคอล MySQL ซึ่งใช้สำหรับการเชื่อมต่อฐานข้อมูล MySQL

การเปิดหรือปิดพอร์ตที่ไม่จำเป็นอาจช่วยให้เครื่องคอมพิวเตอร์หรือเครือข่ายมีความปลอดภัยมากขึ้น โดยลดโอกาสให้กับผู้ไม่หวังดีที่จะเข้าถึงหรือโจมตีระบบของคุณผ่านพอร์ตที่ไม่จำเป็น อย่างไรก็ตาม การเปิดหรือปิดพอร์ตควรจะให้ความสำคัญกับความเป็นไปได้และความความต้องการของระบบและการทำงานที่เกี่ยวข้อง และควรมีการตรวจสอบและการดูแลรักษาเพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยของระบบของคุณ

การรักษาความปลอดภัยที่แนะนำเพิ่มเติม

  1. ใช้การเข้ารหัสและการยืนยันตัวตนแข็งแกร่ง : ใช้การเข้ารหัสของข้อมูลที่อยู่บนเซิร์ฟเวอร์และใช้การยืนยันตัวตนที่แข็งแกร่ง เช่นการใช้ SSL/TLS สำหรับการเชื่อมต่อที่เข้ารหัสและการใช้การตรวจสอบตัวตนสองขั้นตอน (2FA) เพื่อป้องกันการเข้าถึงที่ไม่มีอำนาจ
  2. การอัปเดตและการจัดการระบบอย่างสม่ำเสมอ : ตรวจสอบและอัปเดตซอฟต์แวร์และระบบปฏิบัติการของคุณอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันช่องโหว่ที่อาจถูกใช้โจมตี
  3. การสำรองข้อมูลอย่างเป็นระบบ : สร้างการสำรองข้อมูลแบบเป็นระบบเพื่อป้องกันข้อมูลจากการสูญหายหรือเสียหาย ควรมีการสำรองข้อมูลที่แยกจากเซิร์ฟเวอร์หลักและเก็บไว้ในสถานที่ที่ปลอดภัย
  4. การตรวจสอบการเข้าถึงและการโจมตี : ใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีเพื่อตรวจสอบการเข้าถึงที่ไม่มีอำนาจและการโจมตีต่าง ๆ เช่นการใช้ระบบตรวจจับการบุกรุก ( Intrusion Detection System ) หรือระบบตรวจจับการทำลาย ( Intrusion Prevention System )
  5. การฝึกฝนพนักงาน : ประสานงานกับทีมของคุณและฝึกฝนพนักงานให้เข้าใจเกี่ยวกับมาตรการที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและวิธีการปฏิบัติในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย
  6. การประเมินความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ : ประเมินความเสี่ยงและทำการปรับปรุงมาตรการความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้คุณสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

การรักษาความปลอดภัย เป็นกระบวนการที่ต้องทำงานอย่างต่อเนื่อง และการใช้การสร้างสถานการณ์ที่มีการเรียนรู้อยู่เสมอจะช่วยให้คุณปกป้องข้อมูลและเซิร์ฟเวอร์ของคุณอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

ป้องกันมัลแวร์

เมื่อพูดถึงการป้องกันมัลแวร์บนระบบปฏิบัติการ Linux ควรมีการใช้กลยุทธ์และเครื่องมือที่เหมาะสมเพื่อป้องกันมัลแวร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือบางวิธีที่สามารถใช้ได้

  1. การอัปเดตและการติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัส: สำหรับระบบ Linux, คุณสามารถใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสที่มีระบบสแกนและอัปเดตอย่างสม่ำเสมอ เช่น ClamAV, Sophos Antivirus for Linux, หรือ ESET NOD32 Antivirus for Linux
  2. การตรวจสอบและอัปเดตระบบปฏิบัติการ: อัปเดตและตรวจสอบระบบปฏิบัติการ Linux ของคุณเพื่อให้มั่นใจว่ามีชุดความปลอดภัยล่าสุดและมั่นคง
  3. การใช้งานไฟร์วอลล์ (Firewall): ใช้งานไฟร์วอลล์เพื่อควบคุมการเข้าถึงและการออกจากระบบของคุณ และป้องกันการเข้าถึงที่ไม่พึงประสงค์
  4. การตั้งค่าการสิ้นสุดการใช้งานที่ไม่จำเป็น (Session): ปิดหรือลบบริการหรือกระบวนการที่ไม่จำเป็นในระบบของคุณเพื่อลดโอกาสในการโจมตี
  5. การตรวจสอบการเข้าถึงไฟล์และการสิ้นสุดใช้งานของผู้ใช้: ตั้งค่าการตรวจสอบการเข้าถึงไฟล์และการสิ้นสุดใช้งานของผู้ใช้เพื่อป้องกันการเข้าถึงที่ไม่พึงประสงค์หรือการเข้าถึงข้อมูลที่ไม่ได้รับอนุญาต.
  6. การใช้งาน SELinux (Security-Enhanced Linux): ตั้งค่าและใช้งาน SELinux เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการทำงานของระบบ Linux
  7. การทำการสำรองข้อมูล: ทำการสำรองข้อมูลอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันข้อมูลจากการสูญหายหรือการเข้าถึงที่ไม่พึงประสงค์
  8. การตรวจสอบบันทึก (Logging) และการตรวจจับการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต (Intrusion Detection): ติดตั้งระบบบันทึกและตรวจจับการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาตเพื่อตรวจสอบและรายงานเหตุการณ์ที่เป็นไปได้ของการบุกรุกหรือการเข้าถึงที่ไม่พึงประสงค์

การป้องกันมัลแวร์บนเซิร์ฟเวอร์ Windows Server เป็นสิ่งสำคัญอย่างมากเนื่องจากเซิร์ฟเวอร์เป็นที่เก็บข้อมูลและบริการที่สำคัญสำหรับธุรกิจ นี่คือบางวิธีที่คุณสามารถใช้เพื่อป้องกันมัลแวร์บน Windows Server

  1. ใช้โปรแกรมแอนตี้ไวรัสและโปรแกรมความปลอดภัย: ติดตั้งโปรแกรมแอนตี้ไวรัสที่มีความสามารถในการตรวจจับและกำจัดมัลแวร์บนระบบ Windows Server เช่น Windows Defender, Symantec Endpoint Protection, McAfee VirusScan Enterprise ฯลฯ
  2. การอัปเดตและการตรวจสอบระบบปฏิบัติการ: อัปเดตและตรวจสอบระบบปฏิบัติการ Windows Server เพื่อให้มั่นใจว่ามีชุดความปลอดภัยล่าสุดและไม่มีช่องโหว่ที่เปิดอยู่
  3. การใช้งานไฟร์วอลล์ (Firewall): ใช้งานไฟร์วอลล์เพื่อควบคุมการเข้าถึงและการออกจากระบบของคุณ และป้องกันการเข้าถึงที่ไม่พึงประสงค์
  4. การตั้งค่าการสิ้นสุดการใช้งานที่ไม่จำเป็น (Session): ปิดหรือลบบริการหรือกระบวนการที่ไม่จำเป็นในระบบของคุณเพื่อลดโอกาสในการโจมตี
  5. การตรวจสอบและการบริหารจัดการผู้ใช้: ตรวจสอบและบริหารจัดการสิทธิ์และการเข้าถึงของผู้ใช้ เพื่อป้องกันการเข้าถึงที่ไม่พึงประสงค์และการใช้งานที่ไม่ถูกต้อง
  6. การใช้งานเทคโนโลยี BitLocker: ใช้งาน BitLocker เพื่อเข้ารหัสและป้องกันข้อมูลบนฮาร์ดดิสก์หรือไดรฟ์ที่สำคัญ
  7. การตรวจสอบการเข้าถึงไฟล์และการสิ้นสุดใช้งานของผู้ใช้: ตั้งค่าการตรวจสอบการเข้าถึงไฟล์และการสิ้นสุดใช้งานของผู้ใช้เพื่อป้องกันการเข้าถึงที่ไม่พึงประสงค์หรือการเข้าถึงข้อมูลที่ไม่ได้รับอนุญาต
  8. การใช้งาน Windows Server Update Services (WSUS): ใช้งาน WSUS เพื่อควบคุมการอัปเดตของระบบปฏิบัติการและโปรแกรมบนเซิร์ฟเวอร์ของคุณ

เหตุผลที่ควรเลือก Server ของ THAI DATA CLOUD

  • Server ทุกเครื่องมี AntiDDoS พร้อมใช้งานได้จริง
  • มี Dashboard ให้ใช้งานได้อย่างง่ายดาย
  • สามารถ Start, Stop, Restart, Reinstall, Monitoring Server, ระบบแจ้งเตือน, Modify เพิ่ม ลด สเปคได้ตามต้องการตลอดเวลา
  • มีระบบ Firewall ที่สามารถจัดการผ่าน Dashboard ได้ทันที
  • มีระบบ Backup และบริการอื่น ๆ อีกมากมาย